1.
ชนิดและรูปแบบไฟล์กราฟิก
1. กราฟิกไฟล์สำหรับอินเทอร์เน็ต
ไฟล์กราฟิกที่สนับสนุนระบบอินเทอร์เน็ต
ปัจจุบันมี 3 ไฟล์หลัก ๆ คือ
-ไฟล์สกุล GIF ( Graphics Interlace File)
-ไฟล์สกุล JPG ( Joint Photographer's
Experts Group)
-ไฟล์สกุล PNG ( Portable Network
Graphics)
1.1ไฟล์สกุล GIF (Graphics Interlace File)
เป็น ไฟล์กราฟิกมาตรฐานที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ต มักจะใช้เมื่อ
ต้องการไฟล์ที่มีขนาดเล็ก จำนวนสีและ ความละเอียดของภาพไม่สูงมากนัก
ต้องการพื้นแบบโปร่งใส ต้องการแสดงผลแบบโครงร่างก่อน แล้วค่อยแสดงผลแบบละเอียด
ต้องการนำเสนอภาพแบบภาพเคลื่อนไหว
จุดเด่น : ขนาดไฟล์ต่ำ
สามารถทำพื้นของภาพให้เป็นพื้นแบบโปร่งใสได้ ( Transparent) มีระบบแสดงผลแบบหยาบและค่อยๆ ขยายไปสู่ละเอียดในระบบ Interlace มีโปรแกรมสนับการสร้างจำนวนมาก เรียกดูได้กับ Graphics
Browser ทุกตัว ความสามารถด้านการนำเสนอแบบภาพเคลื่อนไหว ( Gif
Animation)
จุดด้อย : แสดงสีได้เพียง 256 สี
ไฟล์ .GIF มี 2 สกุล ได้แก่ GIF87 พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1987 เป็นไฟล์กราฟิกรุ่นแรกที่สนับสนุนการนำเสนอบนอินเทอร์เน็ต
เป็นไฟล์ที่มีขนาดเล็กและแสดงผลสีได้เพียง 256 สี
และกำหนดให้แสดงผลแบบโครงร่างได้ (Interlace) GIF89A พัฒนาขึ้นในปี
ค.ศ. 1989 เป็นไฟล์กราฟิกที่พัฒนาต่อจาก GIF87 โดยเพิ่มความสามารถการแสดงผลแบบพื้นโปร่งใส ( Transparent) และการสร้างภาพเคลื่อนไหว (GIF Animation) ซึ่งเป็นไฟล์กราฟิกที่มีความสามารถพิเศษโดยนำเอาไฟล์ภาพหลายๆ
ไฟล์มารวมกันและนำเสนอภาพเหล่านั้นโดยอาศัยการหน่วงเวลา
มีการใส่รูปแบบการนำเสนอลักษณะต่างๆ ( Effects) ในลักษณะภาพเคลื่อนไหว
1.2 ไฟล์สกุล JPG (Joint Photographer’s Experts Group)
เป็น อีกไฟล์หนึ่งที่นิยมใช้บน Internet มักใช้กรณี
ภาพที่ต้องการนำเสนอมีความละเอียดสูง และใช้สีจำนวนมาก (สนับสนุนถึง 24
bit color) ต้องการบีบไฟล์ตามความต้องการของผู้ใช้
ไฟล์ชนิดนี้มักจะใช้กับภาพถ่ายที่นำมาสแกน และต้องการนำไปใช้บนอินเทอร์เน็ต
เพราะให้ความคมชัดและความละเอียดของภาพสูง
จุดเด่น : สนับสนุนสีได้ ถึง 24
bit สามารถกำหนดค่าการบีบไฟล์ได้ตามที่ต้องการ
มีระบบแสดงผลแบบหยาบและค่อยๆ ขยายไปสู่ละเอียดในระบบ Progressive มีโปรแกรมสนับสนุนการสร้างจำนวนมาก เรียกดูได้กับ Graphics
Browser ทุกตัว ตั้งค่าการบีบไฟล์ได้ ( compress
files)
จุด ด้อย : ทำให้พื้นของรูปโปร่งใสไม่ได้
ข้อเสียของการบีบไฟล์ ( Compress File)กำหนดค่าการบีบไฟล์ไว้สูง
( 1 - 10) แม้ว่าจะช่วยให้ขนาดของไฟล์มีขนาดต่ำแต่ก็มีข้อเสีย
คือ เมื่อมีการส่งภาพจาก Server ไปแสดงผลที่ Client จะทำให้การแสดงผลช้ามาก เพราะต้องเสียเวลาในการคลายไฟล์
ดังนั้นการเลือกค่าการบีบไฟล์ ควรกำหนดให้เหมาะสมกับภาพแต่ละภาพ
1.3 ไฟล์สกุล PNG (Portable Network Graphics)
จุดเด่น : สนับ สนุนสีได้ถึงตามค่า True
color (16 bit, 32 bit หรือ 64 bit) สามารถกำหนดค่าการบีบไฟล์ได้ตามที่ต้องการ มีระบบแสดงผลแบบหยาบและค่อยๆ
ขยายไปสู่ละเอียด ( Interlace)
สามารถทำพื้นโปร่งใสได้
จุดด้อย : หากกำหนดค่าการบีบไฟล์ไว้สูง
จะใช้เวลาในการคลายไฟล์สูงตามไปด้วย แต่ขนาดของไฟล์จะมีขนาดต่ำ
ไม่สนับสนุนกับ Graphic Browser รุ่นเก่า
สนับสนุนเฉพาะ IE 4 และ Netscape
4 ความละเอียดของภาพและจำนวนสีขึ้นอยู่กับ Video
Cardโปรแกรมสนับสนุนในการสร้างมีน้อย
2. รูปแบบตัวอักษรเพื่อเว็บไซต์
ตัวอักษรที่เราใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ
- Font แบบ Serif จะดูเป็นระเบียบ
เป็นทางการ เหมาะจะใช้ในงานที่เป็นทางการ และต้องการความน่าเชื่อถือมากๆ
- Font แบบ San Serif จะอ่านง่าย
ดูทันสมัยมากกว่าแบบอื่น ๆ เหมาะจะใช้ในงานที่ต้องการ
ความทันสมัยออกแนวไม่เป็นทางการมากนัก
- Font แบบ Script เหมาะกังานที่ไม่เป็นทางการ
ต้องการความเป็นกันเองและดูสนุกสนานมากกว่าแบบอื่นๆ หรือในบางกรณี Font แบบนี้จะใช้ในงานที่ต้องการข้อความที่ดูเหมือนเป็นลายมือเขียน
วิธีเลือก Font ไปใช้ในงานออกแบบ
การเลือก Font ไปใช้ในงานออกแบบมีข้อควรคำนึงง่าย ๆ อยู่ 2
ข้อคือ
1. ความหมายต้องเข้ากัน หมายความว่า ความหมายของคำและ Font ที่เลือกใช้ควรจะไปด้วยกันได้
เช่น คำว่าน่ารักก็ควรจะใช้ Font ที่ดูน่ารักไปด้วย
ไม่ควรใช้ Font ที่ดูเป็นทางการดังภาพตัวอย่าง
2. อารมณ์ของฟอนต์ และอารมณ์ของงานต้องไปในทิศทางเดียวกัน เช่น งานที่ต้องการความน่าเชื่อถือก็จะเลือกใช้ Font แบบ Serif ที่ดูหนักแน่น น่าเชื่อถือ
ส่วนงานที่ต้องการความฉูดฉาดอย่างโปสเตอร์ลดราคาก็ควรจะเลือกใช้ Font ที่เป็นกันเองไม่เป็นทางการมากนักอย่าง Font ในกลุ่ม
Script เป็นต้น
นอกจากการเลือก Font มาใช้งานแล้ว การวางตำแหน่งตัวอักษรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญกับการทำงาน
สำหรับการวางตำแหน่งตัวอักษร มีข้อควรคำนึงถึงไว้ให้อยู่ 3 ข้อคือ
ธรรมชาติการอ่านของคนไทยจะอ่านจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง
โดยมีรัศมีการกวาดสายตาตามลำดับ ดังนั้นถ้าอยากให้อ่านง่าย ควรจะวางเรียงลำดับให้ดีด้วย
ไม่เช่นนั้นจะเป็นการอ่านข้ามไปข้ามมาทำให้เสียความหมายของข้อความไป
จุดเด่นควรจะมีเพียงจุดเดียว หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มีตัวอักษรตัวใหญ่ๆ
อยู่เพียงชุดเดียว จึงจะเป็นจุดเด่นที่มองเห็นได้ง่าย ไม่สับสน ส่วนจุดอื่น ๆ
ขนาดควรจะเล็กลงมาตามลำดับความสำคัญ
ไม่ควรใช้ Font หลากหลายรูปแบบเกินไป
จะทำให้กลายเป็นงานที่อ่านยากและชวนปวดศรีษะมากกว่าชวนอ่าน ถ้าจำเป็นจริง ๆ
แนะนำให้ใช้ Font เดิมแต่ไม่ตกแต่งพวกขนาด, ความหนาหรือกำหนดให้เอียงบ้าง
เพื่อเพิ่มความน่าสนใจไม่ให้งานดูน่าเบื่อแบบนี้จะดีกว่า
3. รูปแบบของระบบเนวิเกชั่น
เเบ่งออกเป็น 4รูปแบบ
1. ระบบเนวิเกชั่นแบบลำดับขั้น (Hierarchical) เป็นเป็นแบบพื้นฐานคือ
มีหน้าโฮมเพจหนึ่งหน้าและมีลิ้งค์ไปยังหน้าอื่นๆภายในเว็บ
แต่มีข้อจำกัดคือเคลื่อนที่ได้เฉพาะแนวตั้ง บนล่าง
2. ระบบเนวิเกชั่นแบบโกลบอล (Global) หรือเรียกว่าแบบตลอดทั่วทั้งไซต์
เป็นระบบที่ช่วยเสริมข้อจำกัดของระบบเนวิเกชั่นแบบลำดับขั้น
ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้ทั้งในแนวตั้ง
และแนวนอนอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งไซต์
3. ระบบเนวิเกชั่นแบบโลคอล (Local) สำหรับเว็บที่มีความซับซ้อนมากอาจต้องใช้ระบบแบบโลคอลหรือแบบเฉพาะส่วนเข้ามาช่วยเมื่อมีบางส่วนที่ต้องการระบบเนวิเกชั่นที่มีลักษณะเฉพาะตัว
เช่น หัวข้อย่อยของเนื้อหาที่อยู่ในส่วนหลักๆของเว็บ
เพื่อเพิ่มความสะดวกและสื่อความหมายให้ดีขึ้น
4. ระบบเนวิเกชั่นเฉพาะที่ (Ad Hoc) เป็นแบบเฉพาะที่ตามความจำเป็นของเนื้อหาซึ่งก็คือลิ้งค์ของคำหรือข้อความที่น่าสนใจซึ่งฝังอยู่ในประโยคที่เชื่อมโยงไปยังรายละเอียดเกี่ยวกับคำนั้นๆเพิ่มเติม
เนวิเกชั่นรูปแบบนี้เป็นวิธีที่ดีในการนำเสนอจุดที่น่าสนใจได้อย่างไม่เด่นชัดเกินไป
ข้อเสียคือผู้อ่านมักมองข้ามลิ้งค์เหล่านี้ได้ง่ายเมื่ออ่านผ่านอย่างรวดเร็ว
วิธีแก้คือรวบรวมลิงค์เหล่านี้ไว้ในส่วน
ของ "แหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์"
อาจอยู่ด้ากบหรือด้านล่างของหน้านั้นก็ได้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อ่านเห็นชัดขึ้นและเกิดความต่อเนื่องของเนื้อหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น